วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สันติ...สร้างที่คน

สุขสงบอยู่ใจ...

การเดินทางหาความสงบเป็นสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์
เพราะบนโลกใบนี้..จะหาความสงบได้..ใช้อยู่ที่สถานที่...
เพราะหากวันนี้สงบ..วันหน้า..ก็ยากคาดการณ์ได้...
ความสงบอันที่จริงอยู่ใจ..
ใช่อื่นไกล...ฉะนั้นอยู่ที่ไหนหากใจไม่สงบก็ยากแท้...
การนั่งนิ่งๆ อยู่กับความคิด..ดูจิตคิด...ทุกลมหายใจ...
แล้วกำหนดจิตให้นิ่ง....
ทุกอย่างภายนอกไม่ต้องเปลี่ยนแปลง...
เปลี่ยนที่ใจ...สุขสงบได้ทุกที่....
สถานที่เป็นเพียงปัจจัย...ภายนอก...หากใจไม่นิ่ง....
สถานที่เงียบสงบ...อาจร้อนถึงใจได้....
ใจเท่านั้นที่เป็นเหตุของความสงบหรือไม่.....
การสร้างสันติก็เช่นกัน....
หากใจสงบ..สันติ..ก็ไม่ต้องสร้าง...
เพราะไม่มีสันติ...และสันติไม่มี...
เป็นเพียงแค่ความสงบร่มเย็น....
จึงไม่ต้องสร้างสันติ....
เพราะไม่มีอะไรให้สันติ อย่างไร....
สันติ จึงอยู่ไม่ต้องสร้าง...
เพียงแค่ทุกคนสงบอยู่กับตัว...
ทุกอย่างก็เป็นไปเองเท่านั้น....

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คลายเครียด..บนวิถีความพอเพียง

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องที่รักทุกท่าน..

ครั้งนี้มาคลายเครียดแบบพอเพียงกันสักหน่อย...
ว่ากันว่า..ความเครียดขจัดความหนุ่มสาวของเราให้น้อยลง...
คือแก่เร็วนั่นละครับ..
หุหุ...แต่ผมว่าแก่ก็ดีอีกแบบ...
แต่ต้องแก่แบบแซบๆ หน่อยนะ....
พูดถึงความเครียดกันต่อ..
หลายๆ คนเจอกับความเครียดทุกวัน...
ตั้งแต่เช้ารถติด...พิชิตความเร็วให้ช้าลง...
สายๆ บ่ายๆ เครียดกับงานที่ทำแบบจำเจ..
ตกเย็นเครียร์งานไม่เสร็จ....
กลับบ้านช้า....แม่เอ็ด ศรีภรรยาด่า....ก็ชั่งเฮอะ

ทุกๆ อย่างมีทางแก้...แก้เครียดแบบพอเพียง...
ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่านะ... แต่ต้องลอง...
คุณลองทำตามดูนะครับ เพื่อจะช่วยได้...
ลองซีกยิ้มที่มุมปาก...แล้วเฉียงสัก 45 องศา...
แล้วทำถ้าเหมือนว่าจะดีใจสุดขีด....
จากนั้นหันไปมองกระจก...
แล้วส่งสายตาเป็นประกายให้ตัวเองในกระจก....
แล้วก็คิดในใจ...ว่า ..บ้าไปแล้วเหรอทำตามทำไมวะ....
อาจจะฮาๆ ได้นิดๆ...แค่นี้ก็จิตแจ่มไปหนึ่งวัน...
ลองดูเน้อ

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เปิดขวด/เรื่องสั้นวันนี้

เย็นวันที่ 24 ตุลาคม ก็คือ วันที่ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน..
ในวันหยุดสุดสัปดาห์...
ไม่มีอะไรมากมาย...กับชีวิตในวันนี้..
แค่เปิดขวดน้ำอัดลมจะดื่ม.....แต่เนี่ย...คือจุดเริ่มต้นของปัญหาอันใหญ่หลวงของผม..

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
น้ำอัดลมผมอยู่ในตู้เย็น..พอดีมันเย็นมากไปหน่อย....
ก๊าซในน้ำอัดลมมันคงจะแน่นไปนิด...ประกอบกับความรืนของขวดเจ้ากรรม..
และด้วยความโง่ของผม..
ไปหมุนเกรียวฝาขวดผิด...
ฝามันยิ่งแน่นเข้าไปใหญ่.
จะทำไงได้..
ก็เล่นหมุนไปสุดแรง..
กะว่าจะดื่มให้หน่ำใจ...แม้ง..ดันเปิดไม่ได้...
อารมณ์เสียสุดๆ..
ผมเดินเข้าครัว..แล้วหาผ้ามาจับขวดและฝา..หวังว่าครั้งนี้จะได้ผล..
ผมนึกในใจ...แต่เสียงมันดันรอดจากปาก "กูจะแดกมึงให้ได้..เดี๋ยวเจอกันในลำคอ.."
ผมก็หมุนจนฝืนเกรียวฝาขวดออกมาได้...
แต่ความกระทบกระเทือนเล็กๆ น้อยๆ...ถึงปานกลาง..
ผมเลยได้ของแถมคือ แรงอัดจากก๊าซและน้ำลม...กระฉุด...เต็มเสื้อ...
นึกแล้วมันเจ็บใจกับความโง่ไม่หาย..
เสื้อเลอะไปด้วยน้ำอัดลม..
แต่ก็ดีที่ได้ดื่ม..
พอผมทำความสะอาดพื้นเสร็จ เช็ดฝาและขวด..เก็บส่วนที่เหลือใส่ตู้เย็น...
เกิดความคิดวูบวาบทางปัญญาอันน้อยนิด...สะกิดต้อมไร้ทอ..หลั่งสารเคมีออกมาทั่วร่างกาย..
แล้วส่งไปกระตุ้นยังโซนประสาทอันอ่อนนิ่มของผม..
ไอ้เจ้าฝาขวด...กูดันหมุนผิดทางมนุษย์ มะนาและดัน....
ดวงตาเกิดเห็นธรรม..ธรรมชาติ...คือความธรรมดาของฝาขวดและเกรียว...
ที่ผมไม่เหลียวคิด..ว่าฝาขวดส่วนใหญ่...เขาทำไว้ให้หมุนขวา...
ก็เพราะคนปกติ ถนัดขวามากกว่าซ้าย....
การสร้างผลิตภัณฑ์อันเป็นสากลจึงต้องเอาใจคนส่วนใหญ่ของโลก...
แล้วทำไมไม่ทำให้หมุนซ้ายเปิดออกได้บ้าง..วะ
อันที่จริงก็คงมีแหละ แต่ผมไม่เคยรู้เท่านั้นเอง..

แต่ยังดีที่ทำให้ผมคิดได้ว่าการจะเปิดหรือปิดอะไรสักอย่าง..
เราก็ทำตามๆ กันและเอาความคิดขอคนส่วนใหญ่ทำตามๆ กัน แล้วเดินตามกันตลอด...
แต่หากมีคนที่คิดจะแวกแนว...เหมือนการหมุนฝาขวดผิดทาง...
เขาย่อมต้องจอกับความติดขัด...เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน..
แต่อุปสรรคทุกอย่างน่าจะนำมาให้ได้รู้ได้เห็น...ได้คิดในสิ่งที่เราเผชิญกับมัน.
แล้วเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปพร้อมกับอุปสรรค...

อันที่จริงแล้วถ้าอุปสรรคไม่มีในวันนี้กับการดื่มน้ำอัดลมแค่อึกเดียว..
ผมคงไม่รู้ความรู้อันน้อยนิดที่ต้องเผชิญกับปัญหาอันน้อยนิด...
แค่ได้แง่คิดจากการเปิดฝาน้ำลม..
กลับทำให้พบกับการพัฒนาสติปัญญาเล็กๆ น้อยๆ ในการแก้ปัญหา..แค่ฝาขวด..
ฝาขวดจึงช่วยให้ผมได้คิด...
ว่าชีวิตนั้นมันต้องเรียนรู้....เหมือนกันเพลงดังในความทรงจำของผม...
ที่เนื้อหาดีมากๆ "คือ อยู่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน เติมความคิดสติเราให้ดี"....
ประโยคเล็กๆ น้อยๆ แต่แฝงไปด้วยพลังของเพลงนี้ผมชอบจริงๆ....
ที่จริงแล้วทุกอย่างก็อยู่ที่คิดเท่านั้นเอง...
เรียนรู้กันต่อไป....เปิดขวด....กันต่อไป
ก็เท่านี้เอง..มุนษย์โลก

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เพลงลูกทุ่งกับยุคสมัย

เมื่อเพลงลูกทุ่งเปลี่ยนไป......

ยุคสมัยก็เปลี่ยนตามกระแสนิยม....
เป็นธรรมดาครับ....
ผมว่าการพัฒนามีทั้งดีและไม่ดีในตัวเอง....
เห็นได้จากผลงานเพลงลูกทุ่งทุกวัน.....
เปลี่ยนไปเยอะ...ว่าก็ว่า...เพลงลูกทุ่งเดี๋ยวนี้ผสมความเป็นสากลเข้าไปมาก.....
โดยเฉพาะเพลงเดี๋ยวนี้เน้นความมันส์...ไว้ก่อน....
ทำให้เกือบจะเป็นสตริงไปซะมากขึ้น.....
แต่ก็ยังดีที่มีเพลงบางส่วนยังคงคุณค่าความเป็นลูกทุ่งไว้บาง....
ทำให้ลูกทุ่งไม่เปลี่ยนไปทั้งหมด.......
ซึ่งยุคสมัยนี้ เพลงส่วนใหญ่ตอบโจทย์....
สาวโรงงาน หนุ่มผู้ใช้แรงงาน หรือพนักงานในโรงงานเป็นส่วนใหญ่....
ทำให้เพลงลูกทุ่งมีแต่เพลงรักๆ เลิกๆ.....
ก็ดี สนุกไปอีกแบบ.......เพราะยังคงความเป็นลูกทุ่งอยู่เยอะ...

ซึ่งไม่น่าห่วงเท่ากับเพลงลูกทุ่งสายเลือดใหม่
สิ่งที่น่าคิด....ว่าวันข้างหน้าลูกทุ่งอาจปรับทิศทางกลายเป็นแนวเพลงใหม่ไปด้วยปริยาย....
คิดแล้วก็เสียวใจไม่หาย.....
กลัวมันจะมาเร็วเกินคาด......

การเข้ายุคเข้าสมัย....
ทำให้กลิ่นไอของความเป็นลูกทุ่งเริ่มหายไปทีละเล็กละน้อย....
สิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุด คือ...อยากให้เพลงลูกทุ่ง..คงความเป็นลูกทุ่งเอาไว้บ้าง.....

รักเพลงลูกทุ่ง...แต่ไม่ยากยุ่งกับใคร.....

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใครถูก...ใครผิด...

สโลแกนของผม....เองครับ.....
ความคิดทุกคนไม่มีถูกผิด...แล้วแต่จะคิดเอาเอง......

สวัสดีพี่น้องทุกท่าน.........

ช่วงนี้ขอเขียนให้มันส์มือ...หลังจากหายไปนาน....
เนื่องด้วยภารกิจหาเลี้ยงชีพ........ไม่ค่อยมีเวลามาปั้น blog
ด้วยอาศัยที่ใจรักงานเขียนออนไลน์...สไตล์บ้าบอ..ของผม....
ผมไม่ทิ้ง blog ให้ร้างแน่ครับ..หุหุ...
ใครชอบงานเขียน...แบบของผม...หรือเผอิญหลงทางมา....ก็หาความสำราญได้ครับ....

ว่าไปแล้วยุคนี้ได้ยินบ่อยจัง.....
ใครถูกใครผิด....
ถามกันไป...ก็ไร้ประโยชน์....
นานจิตตัง...หาตังค์ดีกว่า.....
ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว...แต่ขอเขียนให้เสียวเล่นๆ....

คำว่าถูกใจ...แต่ไม่ถูกต้อง.....
คำว่าถูกต้อง...แต่ไม่ถูกใจ....
สองประโยคนี้...มนุษย์เดินดินอย่างเราเจอเป็นประจำ.....
นั่นแหละครับ...คำว่า ถูกกับผิดมันจึงใกล้กันนิดเดียว...
บางอย่างผมมองว่าถูก....(ถูกใจ...แต่ไม่ถูกต้อง).....
แต่บางอย่างถูกต้อง...(แต่ไม่โดนใจ)....
ผมไม่รู้จะเลือกแบบไหนหลอกครับ...
แต่ที่แน่ๆ....

ความถูกใจ...กับความถูกต้อง.....
มันก็อยู่กับมุมมอง......
คนในสังคม...ล้วนแล้วแต่มีความคิดเป็นของตนเอง....
ทุกคนจึงเดินตามกันได้ยาก....
จะจูงให้เดินก็เกินไปหน่อย....เพราะทุกคนเดินเป็นแล้ว....
ต่างคนจึงต่างมีทางเดินและจุดมุ่งหมายของตนเอง....
จะถูกจะผิด..ก็ต้องคิดเอาเอง......
ยิ่งนับวันความเป็นอยู่ของเรา...เริ่มออกห่างกัน....
คนบ้านใกล้กันไม่รู้จักกันมีเยอะแยะ.....
การทะเลาะกันของคนบ้านเรียงเคียงกันก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ....
เรื่องหมาบ้างละ...เรื่องขี้ๆ (ขี้หมา) บ้างละ.....
มองไปแล้วก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ...
เป็นเรื่องกันมาแล้ว....
จอดรถขว้างหน้าบ้านกันยิ่งแล้วใหญ่.....
ถึงกับเป็นฟื้นเป็นไฟ....
ที่จริงแล้วไม่มีหลอกถูกกับผิด...เพราะมันชิดกันแค่ปลายก้อย.....
หากย้อนแบ่งใจให้กัน...
คนเลี้ยงสัตว์ก็ทำความสะอาดอุจาระสัตว์เลี้ยงตน......ไม่ก่อความรบกวนให้เพื่อนบ้าน...
เพื่อนบ้านก็มีน้ำใจต่อกันเล็กน้อยๆ ก็ยอมกันบ้าง...เอาใจเขาใส่ใจเรา....
อยู่กันแบบญาติพี่น้อง...ทุกคนก็สบายใจ.....
ถูกผิดจึงเป็นเรื่องรองๆ เท่านั้น.....
ก็เรามันคนบ้านใกล้กัน...อยู่ด้วยกันก็ต้องรู้ผ่อนหนักผ่อนเบา....
เราอยู่ด้วยกันอย่างสุขสันต์ได้....
หากจะตัดสินกันที่ผิดถูก...คนบ้านใกล้....คงต้องไกลจากความเป็นมิตร...ละครับ
การตัดสินที่ถูกและผิดจึงไม่ใช่หนทางที่สร้างสรรค์เสมอไป.....

มองต่างมุม....ทุกอย่างย่อมแก้ได้

บ้านนอก..หายไป

วันเวลาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป....
คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้......
ผมว่ายิ่งโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขนาดเท่าไร....
ผมก็รู้สึกว่าโลกมันหมุนเร็วซะเหลือเกิน........
โดยเฉพาะแต่ก่อนนี้บ้านนอกคอกนาอย่างหมู่บ้านผม.....
จะว่าไปแล้วก็ไม่ไกลจากตัวเมือง....ประจำจังหวัดสักเท่าไหร่....
แต่สมัยนั้นโคตรกันดาร...เหมือนมันไกลจริงๆ.....
สำหรับผม...ความกันดาร...นั่่นแหละที่ทำให้ในวัยเวลานั้น....
มีความสุขมากๆ......
โดยเฉพาะหมู่บ้านสุดคลาสสิก...อย่างหมู่บ้านที่ผมรัก....
คือบ้านเกิดผมเอง....เราอยู่กันแบบเรียบๆ ง่ายๆ...
อยากกินอะไรก็หาตามท้องไร่ท้องนา....ชื่อหาตามตลาดแบบถูกๆ
หรือไม่งั้นก็ได้หยิบยืนจากญาติพี่น้องของพ่อและแม่.....
เวลานั้น....ผมยังละอ่อน...มากถึงมากที่สุด..
ที่หมู่บ้าน....คนส่วนใหญ่ยังไม่ทำไร่......ทำแต่นาข้าว.....หมดฤดูทำนา....
ก็หันไปเอาดีกับการปลูกถั่ว...หมดถั่ว...ก็ปลูกหอม.....หมุเนเวียนไปเรื่อยๆ....
พ่อแม่ของผมก็เหมือนชาวบ้านทั่วไป....
คืออาชีพหลักทำนา.....อาชีพเสริมช่างเสริมหล่อ เสริมสวย....
การลงแขก...คนภาคเหนือบ้านเราเรียกว่า "เอาวัน"...
หรือก็คือ....ไปทำงานแลกแรงงานกันนั้นแหละครับ....
ผมกับพี่ก็มักจะถูกบ่อยไว้กับยายเลี้ยง...ไม่งั้นก็คุณทวด....เสมอๆ....
พอโตขึ้นมากอีกนิด...
ก็ติดสอยห้อยตามไปดูเขาทำนา....บนเนินที่พักของพวกผู้ใหญ่....
ดูเขาเกี่ยวข้าวกันสุดลูกหูลูกตา......
ย้อนนึกถึงที่ไร...ก็อดที่จะประทับใจกับความทรงจำไม่หาย.....
พอเริ่มนานวันเข้าความเปลี่ยนแปลงของยุคทุนนิยมเริ่มเข้ามาในหมู่บ้าน..ชุมชนของเรา....
การพัฒนาระบบเกษตรเริ่มเปลี่ยนแปลงไป.....
การเกษตรแบบพืชไไร่พืชสวนเริ่มมีบทบาทมากขึ้น......
ทุกคนเริ่มหนีห่างจากการทำนา....
อาชีพกระดูกสันหลังของชาติ....
เริ่มหายไปจากชุมชน........
ระบบสินเชื่อ...ก็เริ่มสร้างความร่ำรวยให้กับคนในหมู่บ้าน...
หลายคนกู้หนี้ยืมสิน....เพื่อสร้างฐานะของครอบครัวตนเอง....
ประเพณีลงแขกเริ่มหายไปจากหมู่บ้านทีละน้อย..โดยไม่รู้ตัว....
กาลเวลาเปลี่ยนไป...เทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทมากขึ้น....
วิทยุเริ่มหมดความสำคัญเพราะได้ยินแต่เสียงไม่เห็นหน้า.....
สังคมขาเม้าส์ตาามใต้ถุนก็หายไป......
เข้าสู่ยุคโทรทัศน์ขาว ดำ....กระจายในหมู่บ้าน...
แรกๆ ก็เครื่อง สองเครื่อง.....ต่อชุมชน
ในที่สุดทุกคนก็มีโทรทัศน์เป็นของตนเอง......
การไปมาหาสู่ของคนบ้านเราก็เปลี่ยนไป.....
ต่างคนต่างเอาเวลาส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวตรงหน้าจอ....
นี้คือยุคขาว ดำแห่งเทคโนโลยีที่ทุกคนปราถนา......
เราเริ่มติดตามข่าวสารบ้านเมือง...
ตามทันคนกรุงกับเขาแล้ว....ฮ่าๆๆ.....
แต่มีสิ่งที่หายไปจาก...ทุกคนทีละน้อย...ทีละนิด.....
คือ...ความห่างเหิน....เข้ามาแทนความใกล้ชิด....
....ความอบอุ่นของคนในชุมชน...ของคนในหมู่บ้าน.....เริ่มหมดไป....
เริ่มแนวคิดใหม่...หัวใจประชาธิป.....
กำลังบานกลางท้องนา.....
การแกร่งแย้งแข่งขันเริ่มขึ้น....
การเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน.....
เราก็เริ่มออกห่างจากกันทุกวัน...ทุกวัน.....
ในที่สุดบ้านนอกของฉันก็หายไป.....
เหลือไว้แต่ชนบทพัฒนาแล้ว.....
เย้...พัฒนาแล้ว...เย้..พัฒนาแล้ว.....
น้ำตาก็ไหลทีละเล็กทีน้อย......
ไม่ได้ไหลเพราะเสียดายความกันดาร...
ไม่ได้ไหลเพราะเทคโนโลยีความเจริญเข้ามาแทนที่...
แต่ไหลเพราะเราห่างกันซะแล้วครับ...
เราต่างคนต่างอยู่ไม่ต่างจากคนกรุง.....
บ้านนอกผมหายไป....
.....แล้วใครจะตามชีวิตบ้านนอกคืนมาบ้าง......?.

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเขียนสร้างอารมณ์

การเขียนสร้างอารมณ์ร่วม...

ทำให้งานเขียนไม่หยาบกระด้าง...สื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีรสชาติ...
สร้างความรู้สึก อารมณ์ร่วมได้ดี....

การเขียนเช่นนี้จึงมีให้เห็นในนิยาย...เรื่องสั้น.....
และอื่นๆ ตามเคย......

การเขียนสร้างอารมณ์บนโลกออนไลน์เห็นมีมากมาย...
โดยเฉพาะ...บทความเรื่องราวประสบการณ์....
ที่นำมาถ่ายทอดให้รู้สึก....
ทำให้ผู้อ่านติดใจ.....มีมากจริง....
ทั้งเรื่องที่เป็นแนวชีวิต.....แนวอารมณ์เศร้า...สนุก.....อารมณ์อื่นๆ...
นอกเหนือไปจากที่ผมเขียนอีกมากมาย...
โดยเฉพาะงานเขียนแบบอารมณ์เสียว....คนอ่านชอบกันมาก....


เช่น....
ผมลูบไล้ โลมเล้า และใช้ลีลา.........
แบบมีลวดลาย.......

คำเหล่านี้เป็นกริยาทางทางแบบหนึ่งของมนุษย์...
มนุษย์ธรรมดาล้วนแล้วแต่ชอบกันเป็นส่วนใหญ่ในเรื่องอย่างว่า...
อันที่จริงแล้วไม่ผิดหลอก..เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์...
งานเขียนสร้างอารมณ์ร่วมมีหลายแบบไม่เฉพาะเท่าที่เห็น....
แล้วแต่จะใช้ประโยชน์ในงานเขียน.....ครับ

การเขียนเชิงเปรียบเทียบ

การเขียนเชิงเปรียบเทียบ...

เป็นอีกรูปแบบของการเขียนที่ช่วยให้ผู้อ่านจินตนาการ...ได้
โดยเฉพาะผู้อ่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นโดยตรง...
การเขียนเชิงเปรียบเทียบจึงสร้างความเข้าใจ..ให้ผู้อ่านได้ง่ายขึ้น....

แต่การเขียนเปรียบเทียบ....ยังสามารถใช้ได้ในหลายลักษณะตามต้องการ
เช่นการสื่ออารมณ์....การสร้างความรู้สึก...และอื่นๆ คิดไม่ออก!
การเขียนแบบเทียบในลักษณะนิสัยก็อย่าง เช่น

คุณป้าคนนี้เค็มยังกับทะเล.........
อันที่จริงแล้วเป็นการเปรียบเทียบเชิงลักษณะนิสัยที่มีความตระหนี่.....
แต่ถ้าผู้อ่านไม่มีประสบการณ์ก็งงละสิ.....มันเค็มอย่างไงวะ.....
นี้ก็ทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องการเปรียบเทียบแบบนี้ไม่เข้าใจได้....

อีกตัวอย่าง....
สมคิดเธอดูเหมือนหมูขึ้นทุกวันแล้วนะเนี่ย...ลดน้ำหนักบ้างซิ....

การเขียนเปรียบเทียบเช่นนี้ก็เห็นภาพเลย...
ว่าสมคิดมีรูปร่างอ้วน....คล้ายหมู....ผู้อ่านก็จินตนาการตามได้และรุู้สึกร่วมไปกับบทความของเรา....

การเขียนเปรียบเทียบเป็นอีกวิธีหนึ่งของการเขียนให้เห็นภาพ....สร้างจินตนาการได้ดี..
ลองดูนะครับ

การเขียนบรรยาย

การเขียนแบบบรรยาย


เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเขียนที่คนเขียน blog ส่วนใหญ่สามารถนำไป
ปรับใช้ในการเขียน blog ตามรูปแบบของตน...
ที่จริงแล้วการบรรยายด้วยภาษาเขียนมีข้อจำกัดหลายด้าน...
ไม่สามารถพรรณาได้ทุกอริยาบถได้......

แต่ก็สามารถทำให้ผู้อ่านจินตนาเองตามความคิดของตน.....

ยกตัวอย่าง....
ในงานเขียนเชิงวิชาการ...การบรรยายความรู้ด้วยภาษาเขียน....
เรื่องต้นสมุนไพร อะไรสักอย่าง....

เขาก็จะเริ่มด้วย.....
ลักษณะ....เช่น
ต้นกล้วย มีลำต้นอวบน้ำ.... มีขนาดสูง?......... มีใบ?..........
มีกาบ?........ มีผลเป็น?........ มีสี?......

เท่านี้เราก็จินตนาการตามเนื้อหาได้......
การเขียนเชิงบรรยายจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของงานเขียนที่สร้างความรู้...
สร้างจินตนาการร่วมระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียนให้เข้าใจตรงกัน....
ส่วนใครจะเขียนได้ดีหรือไม่นั้น...ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน....
และการวิเคราะห์จุดอ่อนของตนเอง....เป็น

แต่ที่สำคัญอีกอย่าง...ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด...การฝึกเท่านั้น...ที่ช่วยพัฒนาความเก่ง..ได้

การเปลี่ยน

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลายคน...ตกอกตกใจและกลัว....
เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง....
เมื่อมีพูดถึงคำว่า "เปลี่ยน" ส่งผลให้คนที่มีส่วนเกี่ยวกับข้องกับเรื่องนั้นๆ ต่างหวั่นไหว....
กลัวการเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด....
อันที่จริงการเปลี่ยนในแง่หนึ่งคือการทำให้ดีขึ้น...
ถ้าไม่ดีคงไม่เปลี่ยน...

การพัฒนาในโลกใบนี้มีหลายแง่หลายมุม.....ให้คิดหนัก....
การเดินทางของความเปลี่ยนแปลงในแบบรวดเร็วย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจ...
ฉะนั้นการเปลี่ยนอะไรแบบกระทันหันจึงสร้างความตกใจและความไม่ชอบให้คนส่วนหนึ่ง....
การเปลี่ยนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว...เปลี่ยนที่ละขั้นเป็นอีกหนทางหนึ่งของการเปลี่ยน....

การเดินทางความความเปลี่ยนแปลงจึงจะทำให้คนส่วนใหญ่ย่อมรับได้....
การใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงนับว่าทางเลือกที่ดี...
ไม่สร้างความลำบากใจให้กับใครหลายคน...
การอดทนและรอคอย....ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง


เปลี่ยนแปลงในมุมของตนเองได้...จึงผู้อื่นให้เดิมตาม

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กลางสายธาร

กาลเวลาผันเปลี่ยนตามธรรมชาติ....

ความเป็นมุษย์นักคิดของคนยุคใหม่ต่างต้องการเอาชนะ.....
ความเป็นธรรมชาติ...เริ่มตั้งแต่เราอยากครองโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว....
แเดรัจฉานหน้าไหนอย่าได้คิดแข่ง.....
ด้วยเหตุนี้มนุษย์หรือคน.....ผู้สนใจเอาชนะธรรมชาติ....
ใช้เวลาหลายร้อยปี...หาวิธีเอาชนะโลกใบนี้เพื่อกุมชะตาชีวิตของมนุษย์เอง...
และจัดสรรทรัพยากรอย่างที่ตนต้องการ....
ยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงโลกในโฉมหน้าใหม่ เริ่มขึ้นเมื่อเราอยากเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา...
ยุคปรัชญาจึงเริ่มลดบทบาทลง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่คือวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่....
การคิดค้นและค้นคว้าของเหล่ามนุษย์ผู้พิชิตความยิ่งใหญ่และมีอำนาจใดๆ เหนือธรรมชาติ....
การเดินทางกลางกระแสสายธารเพื่อเอาชนะทุกสิ่ง.......
มีส่วนกระตุ้นให้มนุษย์คิดครอบครองดาวน้อยใหญ่ที่อยู่ในระบบสุริยจักวาล......
สายธารแห่งความรู้ของเหล่านักพิชิตโลกเริ่มจัดการกับธรรมชาติที่ไร้พิษสง....
กำหนดธรรมชาติจากการกำหนดอาณาบริเวณแห่งนี้เป็นของข้า......
ลงหลักปักฐาน.....สร้างความมั่นคงถาวรให้กับมวลมนุษย์สร้างอาคารบ้านเรือนเพื่อพิชิตอำนาจแห่งลม....
ในที่สุดมนุษย์จึงคิดว่าตนชนะ...เริ่มรุก..เพื่อพิชิตอำนาจแห่งน้ำด้วยการขวางทางธารไหลให้กลายเป็นแห่งเก็บกักน้ำขัง...เพื่อจัดสรรความอุดมสมบูรณ์......
เมื่อเราควบคุมได้ 2 อำนาจใหญ่แห่งธรรมชาติ......คือ ลม และน้ำ
จึงคิดพิชิตป่าอันเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ทั้งหลายให้กลายเป็นผู้ไร้หลักแหล่ง.....
การเกษตรกรยุคอุตสาหกรรมจึงเริ่มครอบงำอำนาจแห่งดิน...ในที่สุดมนุษย์ก็ชนะ....รุกป่าแล้วครอบงำดินเกือบครึ่งโลกเป็นที่อยู่อาศัยป่าคอนกรีต.....และระบบอุสาหรกรรม
ธรรมชาติผู้แพ้หรือนี่......ในที่การต่อสู้เพื่อควบคุมธรรมชาติทั้งหมดของมนุษย์จึงเกือบเต็มรูปแบบ....
แร่ธาตุในดิน...น้ำมันที่ฝังใต้พิภพหลายล้านปีถึงจุดจบ....
ที่สยบลงใต้พื้นเท้าของมนุษย์.....
มนุษย์ผู้ชนะเหนือกาลเวลา....ถึงเวลาพิชิตโลกนี้ให้สมบููรณ์แบบซะที....ฮ่าๆๆๆๆ
เมื่อเราคิดว่าชนะ...ความชนะคือความพ่ายแพ้.....
การพ่ายแพ้ของมวลมนุษย์กำลังเริ่มขึ้น
แล้วการเปลี่ยนแปลงกลางกระแสธารา...ของเหล่าลูกหลานผู้ปลูกอุดมการณ์ครอบครองโลก....
กำลังตระหนักถึงการเอาคืนของธรรมชาติ....ได้เริ่มขึ้นนะบัดนี้.......
หวังเพียงว่าธรรมชาติที่ผมพึงพอจะเมตตาเด็กตาดำๆ......
อย่าได้พิฆาตให้จบสิ้นทั้งแผ่นดิน.....
กลางสายธารแห่งนี้จึงมีเพียงความเชี่ยวของสายน้ำที่ทำให้มนุษย์รู้สึกเสียว.....
บนความเสียวกลางสายธาร

รูปแบบงานเขียนกับการเขียน blog

สวัสดีครับพี่น้อง....ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่าน blog แห่งนี้

เอาละครับเข้าเรื่องกันเลย.....
พอดีผมไปเจอหนังสือเรื่องการเขียน.....
เลยซื้อมาอ่าน.....ภึงแม่ว่ามันจะเก่าไปสักนิ...แต่ก็ถือว่า ok อยู่.....
เนื้อหาในนั้นก็กล่าวถึงเรื่องทัว ๆ ไปเกี่ยวกับงานเขียน....
ว่างานเขียนแต่ละแบบเป็นอย่างไงบ้าง....
อ่านไปเรื่อยๆ ก็เพลินดีครับ....
มาถึงตอนสำคัญเขาพูดถึงเรื่องงานเขียนเรื่องสั้น....
ซึ่้งน่าสนใจเลยทีเดียว...ผมถึงกับหยุดนิ่งไปพักใหญ่.....
จิตมันลอยไปตามจินตนาการ.....
ว่าไปแล่วก็น่าคิด...เขาว่างานเขียนเรื่องสั้นเป็นงานที่สนุกและท้าทายจินตนาการได้ดี....
ส่วนตัวผมเองก็เขียนเรื่องราวไปเรื่อยตามประสาของตน....
ที่อยากเขียนอะไรก้เขียนไป.....
แต่พอมานึกถึงบทความที่อ่านในหนังสือเล่มเก่าๆ เล่มนั้น....
ก็น่าคิด....อยากลองเขียนเหมือนกันเรื่องสั้น....
แต่อย่างว่า...ไม่เคยเขียนกับเขาสักที.....
งั้นผมก็เลยเพิ่มสีสันใน blog เพื่อฉลองครบรอบการเขียน blog มาสี่ปี...
จัดเรื่องสั้นมาให้พี่น้องได้อ่านและวิจารณ์งานเขียนของผมสักหน่อย....
ตลอดจนอยากแชร์ความรู้ที่ๆได้อ่านมาแล้วนำมาปฏิบัติไปพร้อมกับพี่น้องที่อยากเขียนเรื่องสั้น...
บนหน้า blog ของตนเอง....

ขอเสริมอีกนิด....
เขามางานเขียนจะสำเร็จได้.....
ก้ดเวยความพยายามความฝึกฝน...
ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด...ฝึกประสบการณ์....ให้มาก....
เขียนเรื่องที่เราถนัดก่อน...แล้วจึงค่อยๆ ไปเรื่องที่ยากขึ้น....

และงานเขียนเรื่องสั้นยังมีหลากสไตล์อีดด้วย....
ฉะนั้นใครอยากเขียนเรื่องสั้นมาเรียนรู้ไปพร้อมกับผมได้ที่นี้นะครับ