วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันเวลาแห่งการเรียนรู้
วันเวลาแห่งการเรียนรู้
หลังจากกลับจากส่งพี่สาวไปต่อไปขับขี่รถยนต์ที่ขนส่ง
ใช้เวลาครึ่งวัน.....ที่นานก็คงเป็นเพราะยุคสมัยนี้....คนส่วนใหญ่
มีจิตสำนึกในการขับขี่น้อยลง.....เอาความรีบเร่งความใจร้อนในการเดินทาง
เห็นใจเพื่อนร่วมทางน้อยลง...ใช้รถด้วยความประมาณ....
อุบัติเหตุจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง......
ทางภาครัฐเลยจัดอบรมผู้ขับขี่ให้มีจิตสำนึกที่ดี
ด้วยการอบรวมเข้มในช่วงต่อใบขับขี่.....
นั่งฟังนั่งดูกันให้เข้าใจ......
ผมว่าดีเหมือนกัน เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยรู้กฎจารจร…..
ทำให้เกิดความเดือดร้อนกันอย่างต่อเนื่อง.....
นี้คือคงเป็นอีกวิธีที่เขาคิดกันมาแล้วว่า.....ให้ผู้ขับขี้รู้จักทบทวนความรู้เรื่องกฎจารจรอยู่เสมอ
ขณะผมนั่งรอพี่เข้าอบรมอยู่ใกล้ ๆ เค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์....
มีผู้ปกครองอยู่คนหนึ่งว่าโวยวายเจ้าหน้าที่....
ทำไมไม่ให้ลูกชายตนเองทำใบขับขี่.....
เถียงกันไปเถียงกันมา.....
ผมก็เอียงหู ฟังเสียงเค้าเถียงกันอยู่พักใหญ่....
ปรากฏว่า ลูกชายคุณน้าท่านนั้น....อายุ 13 ย่าง 14 ปี
อายุยังไม่ถึงเกณฑ์......
เนี่ย ๆ ขณะผู้ปกครองก็ยังไม่รู้กฎระเบียบ เถียงกันจนเอ็นคอแทบขาด
เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ขับรถ
เอาเข้าแล้ว....ว๊าบๆๆ....
น่าคิดจริง ๆ ว่าเด็กยุคใหม่ใช้ยานพาหนะ.....โดยวุฒิภาวะยังไม่ถึง......
ก็คงต้องโทษพ่อแม่....
ลูกยังไม่ถึงวัยขับขี่.....ก็ส่งเสริมกันอย่างไม่คิดถึงเพื่อนร่วมโลก
วันนี้จึงได้เรียนรู้อีกหนึ่งอย่างคือ
นานาจิตตัง.......
ตามใจในสิ่งไม่ควรตาม.....
อาจนำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่น
รักลูกให้ถูกทางจร้า......
ความสุขสนุกสนาน
วันเวลาแห่งความสุขสนุกสนานอีกวัน
เป็นวันแห่งการเรียนรู้เช่นกัน เนื่องจากทุก ๆ วันต้องเจอกับสิ่งใหม่ ๆ เสมอ ๆ
ว่าไปแล้วการเรียนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ได้ความรู้ที่กว้างไกลอย่างมาก
ทุก ๆ อย่างไม่รู้จะเริ่มเรียนอันดี เพราะความรู้บนโลกออนไลน์มีมากเหลือเกิน
คงเกินที่จะเรียนรู้ทั้งชีวิตคงไม่หมด ต้องเลือกเรียนสักอย่างตามความสนใจน่าจะพอ
เพราะโลกทุกวันนี้มีความรู้เกิดขึ้นใหม่ ๆ เสมอ
การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด
ซึ่งปราชญ์ทางศาสนาพุทธมักจะสอนเสมอ ๆ ว่าความรู้เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เรียนรู้ได้แค่ใบไม้ในกำมือ
เรียนรู้ด้วยปัญญา คิดเป็น เลือกเป็น ก็เจริญ
บันทึกการเรียนรู้ประจำวัน
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
ปฐมบทไดอารี่ส่วนตัว
ชีวิตมันก็เท่านี้ ตื่นมาทำงานบ้านกวาดบ้าน ล้างจาน อาบน้ำแปรงฟันกินข้าว......
แล้วก็ทำงาน......มันก็เป็นอย่างงี้ทุกวันซิน่า........
ย้อนอดีต
หลังจากที่เมื่อวานไปตะเว้นซื้อหนังสือทำเท็มเพลต เว็บสำเร็จรูป ร้านหนังสือในเมือง
เจออยู่ 1 เล่ม อีกเล่มได้ คู่มือเรียนเว็บโปรแกรมมิ่ง.....
แม้ ๆ ตัวเอง ....คิดการใหญ่ริอาจเป็นเว็บโปรแกรมมิ่ง....นี้คือฝันของผมเอง
เพราะหลังจากที่หลงไหลไปกับการใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่อายุสิบกว่า....
รู้สึกว่านี่เลยที่ใช่สำหรับผม......
ย้อนอดีตไปอีก....
ตอนนั้นฝันก็ยังคงเป็นฝันอยู่
เนื่องจากเรียนมาในสายอาชีพ อีกทั้งเรียนสายช่างยนต์....
มันคนละทางกันเลยนะเนี่ย...แล้วฝันจะเป็นจริงหรือไม่....
เพราะความรู้ ....ก็ไม่มี...เรื่องเว็บยิ่งแล้วใหญ่ต้องมีพื้นทางภาษา HTML
ที่เรียนในวิทยาลัยเขาก็สอนพอรู้เท่านั้น....
ก็ได้แต่ฝันไปวัน ๆ ว่าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นเว็บโปรแกรมมิ่ง เป็นเว็บมาสเตอร์.....เป็นเจ้าของกิจการบนโลกออนไลน์ให้ได้....
แล้วฝันก็ยังคงเป็นฝัน เพราะทุก ๆ ที ที่ใช้อินเตอร์เน็ตบ้าน.....
ต้องวิ่ง .....ขับรถจักรยานออกไปซื้อชั่วโมงเน็ตที่หน้าอำเภอ ซึ่งไกลจากบ้านไป 12 กิโล
และทุก ๆ ครั้งที่แอบเล่นเน็ตก็มักจะถูกบ่นเสมอ ๆ
เนื่องจากไม่สามารถโทรเข้ามาในบ้านได้...เพราะเน็ตครองเองจร้า......
ว่าไปนั่น.....ผมแอบเล่นตอนกลางคืน......แต่เน็ตไม่เข้าข้างสักที....
ต่อเน็ตทุกทีเสียงดังสนั่น...จนทุก ๆ จับได้ตลอดๆๆๆ.....
ในวัยอายุสิบกว่า ยังขาดวุฒิภาวะ.......
สมัยแห่งความรุ่งเรืองของเว็บอานาจารระบาดหนัก....
ผมคงเป็นหนึ่งในนั่นที่มักหลงไปกับความอยากรู้อยากเห็นเอาเวลาในเน็ตแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนหนึ่งค้นคว้างาน......ส่วนหนึ่งเข้าไปดูภาพดูเว็บประมาณนั้น.....
เล่นตั้งแต่เที่ยงคืนจนรุ่งสาง....ไม่รู้วันเวลาเลยสิน่า.........
ก็เพราะอย่างนี้แหละที่เด็กเล่นเกมส์แล้วติดกันง่อมแง้ม.....
เรื่องเกมส์ก็ไม่เป็นลองใครเช่นกันติดกับเขาด้วย หนังเล่นทั้งวัน....
จนวันที่ค่าไฟมาถึง.....โอ้โฮ........พันกว่าบาทในรอบหลายสิบปี....
หลังจากนั้นเป็นต้นมา.....ผมถูกตัดโอกาสจากโลกของเกมส์......
เพราะถูกด่า....ถูกดุ...อย่างหนัก.....
แล้วในที่สุดก็หักดิบ........ไม่ได้เล่นเกมส์อีกเลย
หลังจากค่าไฟแจ้งเหตุ......ผมจึงแบ่งเวลาค้นงานส่งครูและหาความบันเทิงหลังจากเที่ยงคืน....
ลดค่าใช้จ่ายไปเยอะ....อีกทั้งเล่นเน็ตได้นานขึ้น
เพราะในช่องชั่วโมงเน็ตเขียนไว้ว่าเล่นหลังเที่ยงคืน...ฟรี....
แต่จริง ๆ แล้ว ฟรีหรือไม่ก็ไม่ทราบได้.....
ที่แน่ ๆ เรื่องราวในอดีต.....ทำให้ผมต้องคิดและทำฝันให้เป็นจริง
คงมีสักวันที่เป็นวันของผม.....
แล้วการก้าวเดินสู่นักเขียน blog บ้า ๆ บอ ๆ จุดเริ่มต้นของคนออนไลน์
ที่ไม่ได้แค่เล่น และค้นคว้าข้อมูลไปวัน ๆ อีกต่อไป
กลายเป็นก้าวแรกของการเป็นคนเขียนบทความในอินเตอร์เน็ต....อีก 1 คนในมุมเล็ก ๆ แห่งนี้
ไดอารี่
เจ้าของเท่านั้นที่มีโอกาสเปิดอ่าน และหากทิ้งไว้จนลืม ไดอารี่ประจำตัวก็คงต้องหายไปกับการลืม
ไม่หลงเหลือร่องรอยแห่งความทรงจำของการบันทึกของเรา เหลือไว้แค่ความทรงจำในสมองเท่านั้นเอง
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปเทคโนโลยีสำหรับอำนวยความสะดวกมีมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต อาวุธคู่กาย จึงถือกำเนิดขึ้น
พร้อมกับความบ้า ๆ บอ ๆ ของผู้เขียน......
ผมว่าการเขียนไดอารี่ออนไลน์น่าจะสนุกดี.....
มีเรื่องอะไรก็เขียน ๆ ไป ใครอยากเขียนเรื่องใดก็เขียนตามความคิดเห็นของตนเอง
เพราะคติประจำตัวผมคือ ความคิดไม่มีถูกผิด แล้วแต่ละคิดเอาเอง
หลังจากนี้ ผมคงเปลี่ยนการบันทึกไดอารี่ส่วนตัวมาเขียนลงใน blog มากขึ้น
เพราะว่ามันหายไปหมดเลยที่เขียน ๆ ไว้ทั้งความสุขความเศร้า ทั้งการเรียนรู้หายไปหมด
คงเป็นเพราะช่วงเก็บที่บ้านเก็บของเก่าไปชั่งกิโลขาย แน่ ๆ น่าจะโดนอุ้มไปชั่งกิโลด้วย... คิดแล้วมันเครียดจริงๆ
เพราะอย่างนี่แหละผมว่า...ผมจะเปลี่ยนมาเขียนใน blog ดีกว่า มีเวลาว่างก็ค่อยมาอ่านความคิดของตนเอง
น่าจะดี...
สำหรับท่านแวะมาอ่านก็หวังว่าท่านจะได้ประโยชน์ไปบ้าง
หรือท่านจะลองเปลี่ยนการบันทึกของตนเองมาไว้ใน blog อย่างผมก็น่าจะสนุกดี....
ได้แชร์ให้คนอื่นได้อ่านด้วย บันทึกของเราคงไม่ได้หายไปกับเราและกาลเวลาอย่างแน่ ๆ
แต่อย่างว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน คงไม่มีอะไรคงทนถาวรไปตลอดกาล
ใครอยากมาอ่านไดอารี่ส่วนตัวของผม ก็ลองเข้ามาอ่านได้
ไว้ว่ากัน....แบ่งปันเพื่อความสุข......ความทุกข์ก็เท่านั้น......
ไดอารี่ส่วนตัวเริ่มแล้วนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ......
ขอบคุณที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน
วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554
เทคนิคการเขียนนิทาน ตอนเขียนนิทานจากภาพ
เทคนิคการเขียนนิทาน ตอนเขียนนิทานจากภาพ
สำหรับรูปแบบการเขียนนิทานเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของงานเขียนที่อาศัยจินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานให้มีเรื่องราวเกิดขึ้น
การฝึกเขียนนิทานจากภาพเป็นอีกวิธีของการฝึกเขียนนิทาน
ครั้งนี้จึงขอยกตัวอย่างจากภาพเขียนของผม ซึ่งเขียนเล่น ๆ
ตอนโกกุเจ้าสำราญ
ฤดูกาลผันเปลี่ยน...เวียนหมุนไปตามวัฏจักรธรรมชาติ
ก้าวเข้าฤดูฝน.....
ขณะเดียวกัน ณ บ้านหลังใหญ่ทรงญี่ปุ่นสวยงาม ที่ลานหน้าบ้านมีสระน้ำแห่งอาศัยของปลามงคล
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น คือ ปลาคาร์พ หลากสี มีทั้งสีขาว สีแดง สีส้ม สีทอง สีดำ
ปะป่นกันไป และมีปลาตัวหนึ่งนิสัยซุกซน ชอบการผจญภัย.....
ว่ายไปมาอยู่ในสระอย่างสนุกสนาน เขาชื่อ โกกุ
เขาชอบถามเพื่อน ๆ ปลาด้วยกันว่าข้างนอกสระน้ำนี้มีอะไรบ้าง
ทุก ๆ ตอบว่า ไม่รู้สิ ก็ไม่เคยออกไป
โกกุ สงสัย...ว่าข้างนอกสระอะไรบ้าง
แต่ก็ไม่เคยได้รู้คำตอบ เพราะทุก ๆ คนไม่เคยออกจากสระน้ำแห่งนี้
ทุก ๆ วัน เวลานายใหญ่ของบ้านเอาอาหารมาให้ที่สระ
โกกุมักจะกระโดดขึ้นเหนือน้ำ
ตามองไปรอบด้าน หลายๆ ครั้งต่อหลายครั้ง เป็นประจำทุกวัน
วันนั้นเขากระโด่ด เพลินกระเด็นออกสระไปตกอยู่สนามหญ้า
โกกุดิ้นอย่างสุดกำลัง เพื่อขยับตัวลงสระน้ำที่เดิม
แต่ก็กลับลงไปอย่างยากลำบาก
เขาได้รู้รสชาตของการออกนอกสระเป็นครั้งแรกว่า.....นอกสระน้ำยังมีหญ้าและพื้นดิน
เขาอดใจความอยากรู้อยากเห็นโลกนอกสระน้ำไม่ได้
โชคชะตาเข้าข้าง โกกุ
ฝนตกอย่างหนัก ทำให้น้ำจากภูเขาไหลบ่าเข้าหมู่บ้าน
ชาวบ้าน หลายครอบครัวต้องหนีน้ำขึ้นอยู่บนหลังคา
โกกุ และเพื่อน ๆ ปลาต่างถูกน้ำพัดออกไปจากสระ
แล้วทุกคนก็ไหลไปคนละทิศคนละทาง
โกกุ ทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
เสียใจคือคงไม่มีโอกาสได้อยู่ในสระแห่งนั้นอีกแล้ว
แต่ที่ดีใจสุด ๆ คือเขาจะมีโอกาสได้เห็นโลกกว้างที่แท้จริง
ขณะที่เขาไหลตามกระแสน้ำ ได้พบเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นในชีวิต
เช่น เห็นบ้านเรือนผู้คน เห็นต้นไม้ใหญ่ เห็นธารน้ำไหล เห็นสัตว์นานชนิด เกาะอยู่ตามกิ่งไม้
แล้วในที่สุดน้ำก็เริ่มไหลช้า ๆ
โกกุว่านทวนน้ำไปยังบึงใหญ่แห่งหนึ่ง เขาได้เจอกับ
สัตว์ตัวหนึ่ง มี 4 ขา มีกระดองแข็ง ๆ ว่ายน้ำผ่านไป
เขาสงสัยว่าเป็นตัวอะไร
แล้วก็ได้คำตอบ
นี่คือลุงเต่า
ลุงเต่าถามโกกุ ว่า “เจ้าชื่ออะไร และไปยังไงมายังไง...ถึงมาอยู่ตรงนี้”
โกกุ ตอบว่า “ผมชื่อโกกุครับ...โดนน้ำพัดจากหมู่บ้าน”
โกกุ ถาม “แล้วลุงชื่ออะไรครับ”
เต่า ตอบ “ลุงชื่อโทโบ ลุงอาศัยอยู่ในทะเล”
โทโบกับโกกุ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
โกกุ ถามว่า “ในทะเลยมีอะไรบ้างครับ”
โทโบ “ทะเลมีอะไรเยอะแยะมากมาย และกว้างใหญ่สุดหูสุดตา”
โกกุ สนใจอย่างมมาก เขาอยากไปทะเล
โกกุของติดตามลุงเต่าลงทะเลไปด้วย
ลุงเต่า ตอบว่าได้
แล้วโกกุก็เริ่มการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ .......
ข้อคิดเห็น
นี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเขียนนิทาน โดยใช้วิธีเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ
ซึ่งอาจจะเพิ่มหรือขยายเนื้อหาไปในทิศทางอื่น ๆ ได้
สำหรับเรื่องราวของปลาที่ผมแต่ง สามารถเขียนขยายความเป็นตอน ๆ ได้อีก
เป็นวิธีการเขียนจากรูปภาพเล็ก ๆ แล้วใช้จินตนา
พี่น้องที่สนใจลองฝึกเขียนนิทานจากภาพดูนะครับ
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554
เทคนิคการเขียนแบบตั้งโจทย์ ตอนขาว
เรื่องขาว
ในความมืดมีความสว่าง ในความสว่างก็มีความมืด
เพราะมืดกับสว่างเป็นของคู่กัน
การดำเนินชีวิตของคนเราก็เหมือนกับสองด้านประกบ
สลับสับเปลี่ยนไปทุกวัน
ทุกการก้าวเดินของชีวิตจึงต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา
การแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้ตามใจเรา คงเป็นไปได้ยาก
เพราะเราลิขิตสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปดั่งใจไม่ได้....
การดำเนินชีวิตจึงควรทำใจกลาง ๆ เหมือนผ้าขาว
เวลาอะไรดำ ๆ เกาะติด ให้เรารู้ ว่ามีสิ่งติด
ก็รู้ปัดออกไปบ้าง
การดำเนินชีวิตจึงจะมีความสุข
ทำใจให้ขาว ขัดใจให้ขาวด้วยธรรมะเป็นเครื่องซักฟอก
ทุก ๆ อย่างก็ดีเอง
ข้อคิดเห็น
รูปแบบการเขียนแบบตั้งโจทย์เป็นอีกวิธีในการฝึกจินตนาการในการเขียน
เพราะว่าการเขียนแบบตั้งโจทย์เพียงหัวข้อ ให้เราใช้ความคิดปรุงแต่งไปตามใจ
เมื่อฝึกเขียนมาก ๆ การพัฒนางานเขียนจึงจะมีคุณภาพ
การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
การเขียนก็เช่นกันไม่มีผิดมีถูก เขียนไปเรื่อย ๆ ถูกใจก็ทำ ไม่ถูกใจก็แก้ไข แล้วลงมือเขียนใหม่
ไม่มีอะไรอยากเกินความสามารถของคน
ลองฝึกเขียนดูนะครับ
วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
การฝึกเขียนนิทาน
นิทานมีหลายประเภทหลายชนิด มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
โดยนิทานแบ่งออกได้หลายประเภท
เช่น นิทานที่เกิดจากตำนาน
นิทานพื้นบ้าน
นิทานแฝงคติ
นิทานธรรม
นิทานอิสป
นิทานประลัมปะลา
นิทานชาดก
นิทานนานาชาติ
นิทานสำหรับเด็ก
และอื่น ๆ
ซึ่งว่าไปแล้วผู้ที่เติบโตมากับนิทาน จะเป็นผู้ที่มีจินตนาการสูง
เนื่องจากนิทานต่างจากการ์ตูนที่นำเสนอผ่านหน้าจอทีวี
เด็กที่ดูการ์ตูนจากทีวีจะไม่เกิดจินตนาการมากนัก
การฟังนิทานเด็กจะใช้จินตนาการคิดตามไปกับเรื่องราว เป็นการปูพื้นฐานของการจินตนาการได้ดี
นิทานจึงมีให้เลือกหลายแบบ สำหรับไทยแล้วนิทานที่นิยม
และให้แง่คิดดี ๆส่วนใหญ่จะเป็นนิทานชาดกและนิทานพื้นบ้าน
ซึ่งมีความน่าสนใจและน่าติดตาม แฝงคติข้อคิดได้ดี
ปลูกฝังการมีจิตใจที่ดีงาม
นิทานจึงเป็นเรื่องราวพื้นฐานของความดีงาม
ที่บรรพบุรูษปลูกฝังให้ลูกหลานมีจิตสำนึกที่ดี
การเป็นนักเล่านิทาน นักเขียนนิทานจึงเป็นเรื่องสร้างสรรค์สังคมอีกแง่หนึ่ง
ฉะนั้นการฝึกเขียนนิทานส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน
เอาเรื่องราวใกล้ตัว หรือเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นนั้น ๆ ผูกโยงเข้ากับนิทาน
การเขียนนิทานจึงน่าเรียนรู้มากเลยทีเดียว
สำหรับหมวดใหม่ที่ผู้เขียนเพิ่มขึ้น จะเป็นแห่งเขียนนิทานแห่งใหม่ของผู้เขียน
สำหรับฝึกเขียนนิทาน ผู้สนใจสามารถแวะเวียนมาอ่านได้ที่นี่
วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554
เทคนิคการเขียนแบบตั้งโจทย์ ตอนหิน
ในความคิดของผมหินก็คือหิน
คนส่วนใหญ่เห็นหินเป็นมากกว่าหิน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ก็เพราะว่าหินที่มีสีสันต่าง ๆ ถูกสมมติชื่อใหม่
เป็นเพชร เป็นพลอย เป็นอัญมณีล้ำค่า
หินจึงมีค่าในสังคมวัตถุนิยม
การสะสมหินสี เป็นสิ่งบ่งบอกฐานะทางสังคม
ส่วนผู้มีฐานะ คือ ฐานะยากจนก็มีหินไว้ครอบครองเช่นกัน
แต่เป็นหินสำหรับขัดขี้ไคล ราคาไม่สูงมากนัก
ใช้ประโยชน์ในการทำความสะอาดร่างกาย
ส่วนหินของคนรวยมีประโยชน์ไว้ประทับความสวยเก๋
เมื่อหินมองหินไม่เป็นหิน โลกทั้งโลกก็เล็กกว่าความต้องการ
หยุดความอยาก หินก็กลายเป็นหินนั่นเอง
เทคนิคการเขียนแบบตั้งโจทย์ ตอนหนังสือ
หนังสือ คือ กระดาษที่มีตัวอักษรเป็นร้อยเป็นพันเต็มไปหมด
ซึ่งเรียงร้อยเรื่องราวรวมเป็นเล่มหนา
แต่หนังสือจะมีคุณค่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของ
หากปล่อยทิ้งขว้างกองไว้เป็นตั้ง ๆ หรือเรียนแล้วชั่งกิโลขาย
หนังสือนั่นก็ไร้ค่าสำหรับผู้เป็นเจ้าของ
คนที่รู้ค่าหนังสือ แม้กระทั้งถุงกล้วยแขก
ก็สามารถเพิ่มพูนปัญญาให้เขาได้
หนังสือทุกเล่ม ล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง
หนังสือเนื้อหาดีมีคุณค่า ช่วยเพิ่มพูนปัญญาและประสบการณ์ให้ผู้อ่าน
หนังสือมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง ช่วยสร้างสรรค์ความบันเทิง ฝึกสมองให้คิดเป็น
หนังสือใช้ภาษาไม่เหมาะสม เขียนผิด ๆ ถูก ๆ ก็มีค่า เป็นประโยชน์ ช่วยสร้างภูมิปัญญาให้รู้คิดวิเคราะห์วิจารณ์ แยกแยะข้อดีข้อเสีย ข้อเท็จจริง
หนังสือจึงเป็นทั้งครูผู้สอนเป็นทั้งเพื่อนคู่คิดของนักอ่าน