วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โลกสมมติ

เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจกับชีวิตมากขึ้นที่ละเล็ก ทีละน้อย

การสั่งสมประสบการณ์ชีวิต.....เหมือนกับการหยอดกระปุกออมสิน

เมื่อผ่านไป 1 วัน 2 วัน 3 วัน

ความคิดและจิตใจก็เปลี่ยนตามไปกับการเปลี่ยนแปลง

นี้แหละที่เขามายิ่งเรียนมันยิ่งโง่ไปทุกที

เพราะอะไรละ จึงเป็นเช่นนั้น

ที่ว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ ก็เพราะว่า ยิ่งแสวงหา...ยิ่งพบความรู้ใหม่ ๆ ทุกวัน

ทำให้สะท้อนถึงตัวเองว่า ช่างเล็กซะเหลือเกิน...บนโลกใบนี้


เรียนเท่าไหร่มันก็ไม่จบไม่สิ้น

ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา ให้เรียนจนตายก็เรียนไม่หมด

เหมือนคำในศาสนาพุทธ..สอนไว้ว่า มนุษย์เรียนรู้ได้แค่ใบไม้ในหยิบมือ

ความรู้ก็เหมือนป่า ไม่มีวันที่เราจะเก็บใบไม้ทั้งป่าได้


นี้แหละที่ทำให้ผมรู้ว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งโง่.....เมื่อรู้ว่าโง่จึงต้องเรียนรู้กันต่อไป

ความรู้จึงเป็นสิ่งประเทืองปัญญา....เรียนรู้ตลอดชีวิตถือว่าเป็นสิ่งที่ดี....

ศาสนาพุทธสอนว่าการเรียนรู้...ต้องเรียนรู้จากตัวเอง...คือเรียนรู้ตนเองให้ดีพอ...

เรียนจากข้างใน......

พูดง่ายแต่ทำยาก...เพราะเท่าที่ผ่านมาเรียนได้แค่เปลือกอยู่เลย

ยิ่งเราไปเรียนนอกตัวเราเท่าไหร่ยิ่งทำให้เราใกล้จากตัวมากขึ้น....

น่าคิดจริง......


ที่สุดแล้วผมว่าการอยู่บนโลกใบนี้เหมือนการสมมติทั้งนั้น

เกิดมาพอแม่ก็ตั้งสมมติใหม่ก่อน ว่าผมชื่อนั้น ชื่อนี้...

โตมาอีกนิดก็สมมติให้เป็นนายนั้น นายนี้ มีหน้าที่อันนั้นอันนี้

เรียนจบนั้น จบนี้ มียศตำแหน่งนั้นนี้

แต่เมื่อสมมติจบลง ก็เหมือนกับการล้างให้หายไปหมด

และในที่สุดก็จะถูกลืมไปกับกาลเวลา....

มันคือสิ่งสมมติทั้งนั้น....


คิดได้อย่างงี้แล้วผมว่า คนเราจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้

ด้วยความสุข มีประโยชน์ต่อคนอื่น อยู่ในโลกสมมติอย่างสงบ....สบาย

สร้างประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน....และทำตามความฝัน...

ทำในสิ่งที่ชอบ...ไม่เบียดเบือนเพื่อนร่วมโลกเท่านี้ก็น่าจะพอ....


สุดท้ายก็สมมติ มาแล้วก็ไป......มาตัวเปล่า ไปก็ตัวเปล่า

เอาอะไรไปไม่ได้ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น